วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561

ชนรุ่น (Generation)

ชนรุ่น (Generation)

โดย ดร. อนุรักษ์ วัฒนะถาวรวงศ์ 

ความหมายของชนรุ่น
            Mannheim (1952) ได้ริเริ่มนำแนวคิดชนรุ่นมาใช้ในการศึกษาด้านสังคมวิทยาได้เขียนเรื่อง The Problem of Generations ซึ่งเป็นผลงานทางวิชาการที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในการนำมาใช้อ้างอิงทางการศึกษาด้านสังคมวิทยาและด้านการเมืองในประเด็นที่เกี่ยวกับชนรุ่นและโดยเสนอทฤษฎีชนรุ่น (Generational Theory) ซึ่งอธิบายว่าทัศนคติและค่านิยมของชนรุ่นถูกหล่อหลอมด้วยเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ในช่วงชีวิตที่มีการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มาวิเคราะห์และคาดการณ์โดยสะท้อนจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตไปสู่พฤติกรรมในอนาคต (McCrindle, 2006, p. 3)
            Mannheim (1952, p. 291) เสนอว่าชนรุ่น (generation) เป็นกลุ่มของบุคลากรที่เกิดในช่วงเวลาเดียวกันซึ่งมีช่วงชีวิตที่ได้เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่และอยู่ในสภาพ-แวดล้อมที่ได้รับรู้เหตุการณ์ทางสังคมและประวัติศาสตร์แบบเดียวกัน จึงทำให้บุคลากรที่เกิดในช่วงเวลาเดียวกันจะมีรูปแบบทางทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรมที่แสดงออกมาในลักษณะเดียวกัน Schuman and Scott (1989, p. 360) กล่าวว่าชนรุ่นเป็นกลุ่มของบุคลากรที่มีความทรงจำและมีการรับรู้ร่วมกัน (collective memories) ถึงเหตุการณ์สำคัญในช่วงที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งจะส่งผลต่อทัศนคติ สิ่งที่ชอบ และพฤติกรรมที่แสดงออกมา ทำให้มีรูปแบบของความเชื่อ ค่านิยม และความคาดหวังเหมือนกัน จนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชนรุ่น (generational identity) เช่นเดียวกับ Strauss & Howe (1991, p. 34) ได้ระบุว่าชนรุ่นเป็นกลุ่มของบุคลากรที่มีบุคลิกลักษณะและค่านิยมพื้นฐานแบบเดียวกัน ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการรับรู้ร่วมกันถึงประสบการณ์ของเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในรูปแบบเดียวกัน Kuppershmidt (2000, pp. 65-67) ได้อธิบายว่าชนรุ่นว่าเป็นกลุ่มของบุคลากรซึ่งมีช่วงปีเกิดอยู่ในช่วงเดียวกันและรับรู้ร่วมกันถึงเหตุการณ์ที่มีความสำคัญต่าง ๆ ในช่วงที่ได้เรียนรู้ ปรับตัว และพัฒนาจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทำให้แต่ละชนรุ่นจะมีรูปแบบของพฤติกรรมที่เป็นลักษณะเฉพาะ ซึ่งได้มาจากการรับรู้ร่วมกันถึงประสบการณ์แบบเดียวกัน
            จากความหมายของนักวิชาการที่ได้ศึกษาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่าชนรุ่นเป็นกลุ่มของบุคลากรที่เกิดในช่วงเวลาเดียวกัน รับรู้ถึงประสบการณ์แบบเดียวกันร่วมกัน จากเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ในช่วงชีวิตที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ส่งผลทำให้บุคลากรที่เกิดในช่วงเวลาเดียวกันจึงมีบุคลิกลักษณะและค่านิยมพื้นฐานเป็นแบบเดียวกัน มีความทรงจำและการรับรู้ร่วมกัน จนเกิดเป็นลักษณะเฉพาะของชนรุ่น

            การศึกษาแนวคิดชนรุ่น (generational concept) สามารถใช้ทฤษฎีช่วงชีวิต (Life Course Theory) อธิบายช่วงชีวิตของบุคคล (phases in life) ตามช่วงเวลาที่มีพัฒนาการเจริญเติบโต โดยใช้บทบาททางสังคมในแต่ละช่วงชีวิตกับค่านิยมในแต่ละขั้นพัฒนาการ ดังแสดงในตาราง 1

บทบาททางสังคมในแต่ละช่วงชีวิต
ช่วงชีวิต
อายุ
ขั้น
บทบาททางสังคม
วัยเยาว์
0-21
เติบโต
ได้รับการเลี้ยงดู อบรม สั่งสอน จนเป็นผู้ใหญ่ และได้รับเอาค่านิยมและความเชื่อเข้ามา
วัยผู้ใหญ่
22-43
ทดสอบ
ทดสอบและยืนยันค่านิยมที่ได้รับเข้ามาในช่วงชีวิตที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่
วัยกลางคน
44-65
ยืนยัน
ยืนยันค่านิยมที่ได้รับเข้ามาในการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ชอบและสิ่งที่เป็นความต้องการ
วัยสูงอายุ
66-87
ถ่ายทอด
บุคคลในวัยนี้ถ่ายทอดค่านิยมของตนเองให้กับสมาชิกในชนรุ่นถัดไป
ที่มา. จาก Generations: The history of America’s future, 1584 to 2069 (p. 445), by
W. Strauss and N. Howe, 1991, New York: William Morrow.

            จากตาราง 1 ได้แสดงให้เห็นว่าบทบาททางสังคมกับการยอมรับค่านิยม เริ่มจาก วัยเยาว์ (youth) เป็นช่วงชีวิตที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ (formative) อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งอายุ 21 ปี เป็นช่วงเวลาที่บุคคลในวัยนี้ได้รับการเลี้ยงดู อบรม สั่งสอน จนกระทั่งเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และได้รับเอาค่านิยมและความเชื่อเข้ามา วัยผู้ใหญ่ (rising) อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 22 ปี จนกระทั่งอายุ 43 ปี เป็นช่วงเวลาที่บุคคลในวัยนี้ทำการทดสอบและยืนยันค่านิยมที่ได้รับเข้ามาในช่วงชีวิตที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่
วัยกลางคน (
mid adulthood) อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 44 ปี จนกระทั่ง 65 ปี เป็นช่วงเวลาที่บุคคลในวัยนี้ยืนยันค่านิยมที่ได้รับเข้ามาในการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ชอบและสิ่งที่เป็นความต้องการ วัยสูงอายุ (elderhood) อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 66 ปี จนกระทั่ง 87 ปี เป็นช่วงเวลาที่บุคคลในวัยนี้ถ่ายทอดค่านิยมของตนเองให้กับสมาชิกในชนรุ่นถัดไป (Strauss & Howe, 1991, pp. 443-453)

            ปัจจุบันองค์การสมัยใหม่มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างองค์การ ทำให้เกิดความหลากหลายทางทรัพยากรมนุษย์จากความแตกต่างของชนรุ่น ได้แก่ ชนรุ่นยุคโทรทัศน์ ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์ และชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ต ความแตกต่างที่เกิดขึ้นนี้ได้ส่งผลต่อการทำงานร่วมกันระหว่างกลุ่ม ความหลากหลายนี้หล่อหลอมให้บุคลากรมีกระบวนการคิดและการแสดงออกในพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มีความต้องการและแรงจูงใจในการทำงานที่แตกต่างกัน มีลักษณะการเรียนรู้และพัฒนาที่ไม่เหมือนกัน ความหลากหลายดังกล่าวอาจจะกลายเป็นปัญหาระดับองค์การได้ หากขาดความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายก็อาจส่งผลกระทบต่อความสำเร็จขององค์การได้ นอกจากนั้นการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสาร รวมทั้งสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ส่งผลต่อวิธีการบริหารจัดการในองค์การที่จะต้องตอบสนองต่อความหลากหลายถึงสิ่งที่แต่ละชนรุ่นให้ความสำคัญ มีความต้องการและความคาดหวังจากการทำงาน องค์การจะต้องสร้างความเข้าใจในความแตกต่างที่เกิดขึ้น โดยปรับเปลี่ยนกระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้สามารถตอบสนองต่อความหลากหลายจากความแตกต่างของชนรุ่นได้อย่างมีประสิทธิผล ตั้งแต่การสรรหา การจูงใจ การพัฒนา และการรักษาให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานเพื่อบรรลุผลสำเร็จขององค์การ มีความพึงพอใจในการทำงาน เกิดเป็นความผูกพันองค์การ 

            การศึกษาความแตกต่างของชนรุ่น (generational differences) โดยนำช่วงปีเกิดของบุคลากรกับการรับรู้ถึงประสบการณ์ของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และสังคมในแบบเดียวกัน มาเป็นเกณฑ์เพื่อใช้จำแนกประเภทชนรุ่น (generational cohort) โดยจัดบุคลากรที่มีช่วงปีเกิดในเวลาเดียวกันให้อยู่ชนรุ่นเดียวกัน สมาชิกที่อยู่ชนรุ่นเดียวกันได้รับรู้ถึงประสบการณ์ในแบบเดียวกันร่วมกัน จึงทำให้มีการแสดงออกทางพฤติกรรมที่มีรูปแบบในการตอบสนองเหมือนกัน จึงเกิดเป็นลักษณะเฉพาะของชนรุ่น จึงทำให้บุคลากรในชนรุ่นเดียวกันมีความรู้สึกนึกคิดในลักษณะเดียวกัน จากการหล่อหลอมทางสังคมที่ใช้ในการกำหนดรูปแบบของพฤติกรรม ความรู้สึก และความคิด ซึ่งเป็นที่นิยมและได้รับการยอมรับในช่วงระยะเวลานั้น ส่งผลทำให้สมาชิกในชนรุ่นเดียวกันจึงมีการแสดงออกทางทัศนคติ ความรู้สึก และพฤติกรรมที่อยู่ในรูปแบบเดียวกัน โดยสมาชิกที่อยู่ชนรุ่นเดียวกันนั้น ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ไม่ได้อยู่ใกล้กัน และไม่ได้คุ้นเคยกัน (Eyerman & Turner, 1998, p. 97)
           การใช้ช่วงเวลาเดียวกันนี้มาจัดชนรุ่นเป็นสิ่งที่ใช้กำหนดจุดทางสังคม (social marker) ในระหว่างที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์และทางสังคมซึ่งบุคลากรในชนรุ่นนั้นได้รับรู้และมีประสบการณ์แบบเดียวกันร่วมกัน ในช่วงชีวิตที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้รับการหล่อหลอมทางสังคมจนเกิดเป็นลักษณะเฉพาะของชนรุ่นนั้นขึ้น การรับรู้ถึงประสบการณ์แบบเดียวกันร่วมกันของบุคลากรที่มีช่วงอายุใกล้เคียงกันทำหน้าที่เป็นเสมือนกับเลนส์ที่ใช้มองผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ จากสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น (McCrindle, 2006 p. 10) ดังนั้น รูปแบบเลนส์ของชนรุ่นที่ใช้มองก็มีความแตกต่างกันตามการรับรู้ถึงประสบการณ์ของเหตุการณ์สำคัญในช่วงชีวิตที่ได้เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคสมัยก็มีความแตกต่างกันไปตามกาลเวลา จึงส่งผลทำให้แต่ละชนรุ่นมีมุมมองที่แตกต่างกัน ตามประสบการณ์ซึ่งได้รับรู้ร่วมกันในแต่ละช่วงเวลาและเกิดเป็นลักษณะเฉพาะของชนรุ่น (Dencker, Aparna, & Martocchio, 2007, pp. 211-212) ดังแสดงในภาพ 1

ภาพ 1 ทฤษฎีชนรุ่น
ที่มา. ดัดแปลงจากการศึกษาของ Strauss & Howe (1991) Lancaster & Stillman (2003) Zemke et al. (2000) Espinoza et al. (2010) และ Martin & Tulgan (2002).

            จากภาพ 1 แสดงให้เห็นถึงการนำเหตุการณ์สำคัญทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และเทคโนโลยีในช่วงชีวิตที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และส่งผลต่อทัศนคติ ค่านิยม แรงจูงใจ มาใช้ในการจำแนกประเภทชนรุ่น และใช้อธิบายลักษณะพื้นฐานของชนรุ่นตามการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ทางสังคม (societal paradigm shift) ที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกับช่วงที่บุคลากรนั้นได้เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นช่วงเวลาที่มีการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ รวมทั้งได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ยอมรับและเป็นที่นิยมในขณะนั้น หรือเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละชนรุ่น (Strauss & Howe, 1991, pp. 34-36) ทฤษฎีชนรุ่นจึงได้นำช่วงปีเกิดในการจำแนกชนรุ่นและใช้มุมมองระดับกลุ่มมากกว่าที่จะมุ่งเน้นระดับปัจเจกบุคคล เพื่ออธิบายลักษณะของแต่ละชนรุ่นซึ่งมีรูปแบบที่แตกต่างกันจนเกิดเป็นลักษณะเฉพาะ (Espinoza, Ukleja, & Rusch, 2010, p. 15) ในทำนองเดียวกับทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรมการทำงานในแต่ละชนรุ่น ก็ได้รับอิทธิพลจากสถานการณ์ในสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน เมื่อแต่ละชนรุ่นได้เข้าสู่การทำงานก็จะนำความแตกต่างที่เกิดขึ้นนี้มาในที่ทำงานด้วยเช่นกัน (Jurkiewicz, 2000, pp. 55-74)
            Inglehart (1997, p. 103) ยังได้อธิบายค่านิยมที่ส่งผลต่อชนรุ่นจากการรับรู้ถึงประสบการณ์ร่วมกันในช่วงที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ว่ามาจาก อิทธิพลด้านเศรษฐกิจสังคมและด้านความขาดแคลนทางทรัพยากร ทำให้ค่านิยมของบุคลากรได้รับผลกระทบจากสภาวะความไม่มั่นคง เช่น สงคราม เศรษฐกิจตกต่ำ จะทำให้บุคลากรนั้นมีค่านิยมแบบยุคสมัยใหม่ (modernist) เช่น ความประหยัด ความมีเหตุมีผล วัตถุนิยม ความเป็นพวกเดียวกัน การปฏิบัติตามกฎระเบียบ ในทางตรงข้ามหากบุคลากรนั้นเติบโตในช่วง
ที่สภาวะมีความมั่นคง ก็จะมีค่านิยมแบบยุคหลังสมัยใหม่ (
postmodernism) เช่น ความเสมอภาค ความเป็นปัจเจกบุคคลนิยม การสร้างความเชื่อใจระหว่างกัน การยอมรับในความแตกต่าง และการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เมื่อสภาวะทางเศรษฐกิจสังคมเกิดความไม่มั่นคง จะเป็นผลให้ชนรุ่นนั้นให้ความสำคัญกับความเป็นอนุรักษ์นิยมและการสร้างคุณค่าของตนเอง ขณะที่สภาวะทางเศรษฐกิจสังคมที่มีความมั่นคง จะเป็นผลให้ชนรุ่นนั้นให้ความสำคัญกับการยอมรับความเปลี่ยนแปลงและการสร้างความเปลี่ยนแปลง
ให้เกิดขึ้น
(Egri & Ralston, 2004, p. 211)
            การศึกษาวิจัยทางวิชาการและวรรณกรรมที่ได้มีการอ้างอิงถึงชนรุ่นส่วนใหญ่มักจะนิยมใช้วิธีการจัดประเภทตามที่ได้มีการศึกษาและกำหนดไว้แล้วว่าสังคมในปัจจุบันสามารถจำแนกชนรุ่นได้ดังนี้ ชนรุ่นยุควิทยุ (Radio Generation) ชนรุ่นยุคโทรทัศน์ (Television Generation) ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์ (Computer Generation) ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ต (Internet Generation) และชนรุ่นสมาร์ทโฟน (Smartphone Generation) ชื่อที่ใช้จำแนกชนรุ่นอาจจะแตกต่างจากการวิจัยนี้ ตามนักวิชาการที่ศึกษา และจัดประเภทตามช่วงปีเกิดของแต่ละชนรุ่น โดยใช้เป็นช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม สมาชิกที่อยู่ชนรุ่นเดียวกันจะมีค่านิยมและทัศนคติที่สอดคล้องกันภายในกลุ่ม เป็นผลมาจากการรับรู้ถึงประสบการณ์แบบเดียวกันที่ผ่านมาร่วมกัน ในขณะที่เกิดเหตุการณ์สำคัญนั้นขึ้น จึงเกิดเป็นลักษณะเฉพาะของชนรุ่นและสามารถนำมาใช้ในการกำหนดและแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของชนรุ่นได้ (Strauss & Howe, 1991, p. 9) โดยสมาชิกที่อยู่ชนรุ่นเดียวกันจะมีลักษณะนิสัยที่มีรูปแบบทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรมเป็นแบบเดียวกัน และได้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล ช่วงระยะที่ใช้จำแนกชนรุ่น จะมีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 20 ถึง 22 ปี ตามช่วงปีเกิดที่ได้กำหนดเป็นเกณฑ์ และใช้อ้างอิงว่าบุคลากรนั้นเป็นสมาชิกอยู่ชนรุ่นใด
            ในอดีตองค์การประกอบด้วยบุคลากรที่มีช่วงวัยแตกต่างกัน จำแนกด้วยระดับชั้นขององค์การ (organizational stratification) ได้แก่ บุคลากรผู้อาวุโสอยู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง บุคลากรวัยกลางคนอยู่ตำแหน่งบังคับบัญชาระดับกลาง และบุคลากรวัยหนุ่มสาวอยู่ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ จะเห็นได้ว่าเป็นการจัดสรรตำแหน่งตามลำดับอาวุโส อยู่ในลักษณะโครงสร้างองค์การเป็นลำดับขั้น แบ่งเป็นชั้นแยกส่วนกันได้อย่างชัดเจน โครงสร้างองค์การมีการเปลี่ยนผ่านของบุคลากรในแต่ละช่วงวัย เป็นไปตามธรรมชาติของอายุขัยอย่างสมดุล ซึ่งประชากรในอดีตมีอายุขัยเฉลี่ยน้อยกว่าในปัจจุบัน ขณะที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้อายุขัยเฉลี่ยของประชากรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับโครงสร้างองค์การมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จึงเกิดความหลากหลายของบุคลากรในช่วงอายุเพิ่มขึ้นในระดับบริหาร ผู้บริหารระดับสูงจากบุคลากรอาวุโสและจากบุคลากรวัยกลางคนมีจำนวนมากขึ้น นอกจากนั้น การเปลี่ยนแปลงระบบการพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานแทนระบบอาวุโส ก็ยิ่งทำให้องค์การสมัยใหม่ประกอบด้วยบุคลากรทุกช่วงวัยอยู่ในโครงสร้างที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเกิดเป็นความหลากหลายของชนรุ่นที่แตกต่างกันทำงานร่วมกันอยู่ในองค์การ แต่ละชนรุ่นจะมีค่านิยมที่เป็นลักษณะเฉพาะซึ่งส่งผลต่อความต้องการ ความคาดหวัง และพฤติกรรมในการทำงานที่แตกต่างกัน เช่น ชนรุ่นยุควิทยุกับชนรุ่นยุคโทรทัศน์จะมีรูปแบบวิธีการทำงานที่ให้ความสำคัญกับการทำงานหนักและความทุ่มเทให้กับการทำงาน ขณะที่ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์กับชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตจะให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีใหม่มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น มีเวลาให้กับชีวิตส่วนตัวมากขึ้น จึงให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (work life balance) ดังนั้นลักษณะเฉพาะของแต่ละชนรุ่นจึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบลักษณะของงานและวิธีที่ใช้จูงใจเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการและความคาดหวังจากการทำงานของบุคลากร
ในแต่ละชนรุ่นได้อย่างมีประสิทธิผล (
Parry & Urwin, 2011, pp. 79-96)
            สรุปได้ว่า แนวคิดชนรุ่นสามารถใช้อธิบายความแตกต่างของบุคลากร จากความเชื่อมโยงระหว่างลักษณะของชนรุ่นกับอิทธิพลของสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง ที่ส่งผลให้บุคลากรที่มีช่วงปีเกิดในเวลาเดียวกัน จะรับรู้ถึงประสบการณ์ของเหตุการณ์สำคัญแบบเดียวกัน มีบุคลิกลักษณะและค่านิยมพื้นฐานเหมือนกัน จนเกิดเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละชนรุ่น 
            ลำดับต่อไปเป็นการศึกษาลักษณะของชนรุ่น สิ่งที่แต่ละชนรุ่นให้ความสำคัญในการทำงาน และค่านิยมในการทำงานของแต่ละชนรุ่น ดังต่อไปนี้

            ชนรุ่นยุควิทยุ (Radio Generation) หรือไซเลนท์เจเนอเรชั่น (Silent Generation) มีช่วงปีเกิดในระหว่างปี ค.ศ. 1928-1945ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (ค.ศ. 1930) แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของอเมริกา (ค.ศ. 1933) สงครามโลกครั้งที่สอง (ค.ศ. 1939-1945) การโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ (ค.ศ. 1941) สงครามเกาหลี (ค.ศ. 1950-1953) การทดลองสร้างระเบิดนิวเคลียร์ (ค.ศ. 1945) เป็นต้น ชนรุ่นนี้ต้องการทำงานให้กับองค์การขนาดใหญ่ โดยเฉพาะองค์การภาครัฐ เพื่อที่จะได้มีโอกาสแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันและองค์การ เช่น รับใช้ประเทศชาติด้วยการสมัครเข้าเป็นทหารกองประจำการในระหว่างสงครามโลกเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและความรักชาติ (Zemke, Raines and Filipczak, 2000, p. 98)
            
สิ่งที่ชนรุ่นยุควิทยุให้ความสำคัญในการทำงาน 
            ชนรุ่นยุควิทยุให้ความสำคัญกับการทำงานหนัก การปฏิบัติตามนโยบายและกฎเกณฑ์ข้อบังคับ ด้วยความเชื่อที่ว่าความพยายามจากการทุ่มเทให้กับการทำงานและการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัดที่ผ่านมานั้นก็จะส่งผลให้ได้รับการตอบแทนในที่สุด สมาชิกในชนรุ่นนี้เติบโตอยู่ในสังคมซึ่งได้รับอิทธิพลจากการปฏิบัติตามกฎระเบียบวินัยทางทหารของกองทัพในระหว่างสงคราม ชนรุ่นนี้จึงมีความต้องการแสดงออกถึงความรักชาติ ความเสียสละ และการทำงานเพื่อส่วนรวม ค่านิยมที่เกิดขึ้นนี้ได้หล่อหลอมเข้าไปอยู่ในลักษณะของชนรุ่นนี้ จึงให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามนโยบาย กฎ และข้อบังคับ ปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัด นอกจากนั้น การรับรู้ถึงประสบการณ์ในช่วงชีวิต
ที่มีความลำบากยากเข็ญ จากผลกระทบของสงครามโลกครั้งที่สองและสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ก็ได้ส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของสมาชิกในชนรุ่นนี้ จึงให้ความสำคัญกับการอดออม การใช้จ่ายอย่างประหยัด และการใช้เงินอย่างคุ้มค่ามีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูง ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ให้ความสำคัญกับครอบครัว ต้องการความมั่นคงในชีวิต และมีจิตใจสาธารณะ
(Lancaster & Stillman, 2003, p. 19)
            การรับข้อมูลข่าวสารหรือความบันเทิงของสมาชิกในชนรุ่นนี้เป็นการรับฟังโดยผ่านเครื่องวิทยุซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในยุคสมัยนั้น (Gravette & Throckmorton, 2007) ชนรุ่นนี้จึงได้เรียนรู้วิธีการทำงานโดยไม่มีเทคโนโลยีสนับสนุนหรือช่วยเหลือในการทำงาน จึงถูกสอนให้เชื่อฟังคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาในการทำงานและปฏิบัติตามนโยบายและกฎข้อบังคับ ชนรุ่นยุควิทยุจะนิยมทำงานให้กับองค์การขนาดใหญ่ที่มีลักษณะโครงสร้างตามลำดับขั้น ดังนั้น รูปแบบวิธีการบริหาร
ของบุคลากรในชนรุ่นนี้ จึงเป็นรูปแบบของการสั่งงานตามสายบังคับบัญชา (
chain of command) โดยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบและขั้นตอนในการทำงาน ส่งงานที่ได้รับมอบหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด มีความพึงพอใจจากการทำงานก็ต่อเมื่อสามารถปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จ สมาชิกในชนรุ่นนี้ต้องการที่จะแสดงออกให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อองค์การ จึงให้ความสำคัญกับการทำงานเพื่อส่วนรวม ความทุ่มเทในการทำงาน และความเสียสละให้กับองค์การ (Lancaster & Stillman, 2003, p. 20)
            ชนรุ่นยุควิทยุให้ความสำคัญกับความทุ่มเทในการทำงาน ตำแหน่งหน้าที่ มีความอดทนในการทำงาน ด้วยความเชื่อที่ว่าการทำงานหนักและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดแล้วจะส่งผลทำให้ความพยายามนั้นได้รับการตอบแทนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เช่น การปรับเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น นอกจากนั้นยังให้ความสำคัญกับหน้าที่การงานมากกว่าเรื่องส่วนตัว และยึดถือคำสั่งตามสายบังคับบัญชา ชนรุ่นนี้มักจะปฏิบัติงานตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย ไม่นิยมการเปลี่ยนแปลง มีความจงรักภักดีต่อองค์การ จึงเป็นเรื่องปกติที่บุคลากรในชนรุ่นนี้ทำงานให้กับองค์การใดองค์การหนึ่งจนเกษียณอายุ (Espinoza & Rusch, 2010, p. 5)

ค่านิยมเกี่ยวกับงานของชนรุ่นยุควิทยุ 
           จากการที่ชนรุ่นยุควิทยุเข้าสู่อาชีพการทำงานในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ส่งผลทำให้สมาชิกในชนรุ่นนี้ให้ความสำคัญกับการอดออม การประหยัด และการใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า และมองว่าการได้งานทำนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เนื่องจากการได้รับคัดเลือกให้เข้าทำงานเป็นสิ่งที่ยากมากในยุคสมัยนั้น ดังนั้นชนรุ่นนี้จึงให้ความสำคัญอย่างมากกับความมั่นคงในอาชีพการทำงาน มีความจงรักภักดีต่อองค์การ และมีความเชื่อว่าเมื่อเข้าทำงานได้แล้วจะต้องรักษางานที่ได้ทำนั้นให้มีความมั่นคงและทำงานจนเกษียณอายุ จึงทำให้ชนรุ่นนี้ไม่นิยมที่จะเปลี่ยนงาน นอกจากนั้นการทำงานในองค์การขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างเป็นแบบลำดับขั้นจะมีการติดต่อสื่อสารอย่างเป็นทางการ มีกฎระเบียบขั้นตอนในการทำงาน และมีรูปแบบการสั่งงานตามสายบังคับบัญชา ทำให้ชนรุ่นนี้ปฏิบัติตามนโยบาย กฎ ระเบียบ และข้อบังคับอย่างเคร่งครัด (Lancaster & Stillman, 2003)
            ชนรุ่นยุควิทยุคุ้นเคยกับวิธีการทำงานในรูปแบบการสั่งงานตามสายบังคับบัญชาที่มีความชัดเจนและมีการรายงานตรงต่อผู้บังคับบัญชาคนเดียว จึงไม่นิยมที่จะทำงานข้ามสายงาน นิยมใช้รูปแบบวิธีการสื่อสารอย่างเป็นทางการ ปัจจุบันสมาชิกในชนรุ่นนี้ส่วนใหญ่ได้เกษียณอายุจากการทำงานแล้ว แต่ก็ยังบางส่วนทำงานอยู่ วิธีการจูงใจสมาชิกในชนรุ่นนี้สามารถทำได้โดยสร้างให้ผู้อื่นเห็นถึงความสำคัญและคุณค่าจากประสบการณ์ทำงาน องค์การจึงต้องให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดความรู้และทักษะในการทำงานให้กับชนรุ่นหลังซึ่งยังคงทำงานอยู่ในองค์การ ให้บทบาทการเป็นที่ปรึกษา พี่เลี้ยง รวมไปถึงจัดให้มีการทำงานที่สามารถกำหนดเวลาได้แบบยืดหยุ่น เพื่อที่จะรักษาสิ่งที่เป็นความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในการทำงานที่สั่งสมมาเป็นเวลายาวนานของชนรุ่นนี้ให้อยู่กับองค์การตลอดไป (Gravette & Throckmorton, 2007)

          ช่วงปีเกิดชนรุ่นยุคโทรทัศน์ (Television Generation) หรือ เบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomers) คือ ช่วงปีเกิดเริ่มปี ค.ศ. 1946 และสิ้นสุดปี ค.ศ. 1964 ชนรุ่นยุคโทรทัศน์ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ได้แก่ การเดินทางไปยังดวงจันทร์ (ค.ศ. 1969) สงครามเวียดนาม (ค.ศ. 1962-1975) การเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและสิทธิสตรี (ค.ศ. 1954-1968) คดีวอเตอร์เกต (ค.ศ. 1972) การปฏิวัติทางเพศ (ค.ศ. 1960-1980) และการลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี้ (ค.ศ. 1963) และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง (ค.ศ. 1968) ผู้นำการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนที่เป็นบุคคลสำคัญ รวมทั้งการเริ่มเข้ามามีบทบาทของสื่อโทรทัศน์อย่างมากและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในสังคมได้ถ่ายทอดเหตุการณ์สับสนวุ่นวายทั้งหลายที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ทำให้การนำเสนอข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อโทรทัศน์จึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิดของชนรุ่นยุคโทรทัศน์ ส่งผลทำให้เกิดเป็นอุดมคติในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและทางสังคมให้เกิดขึ้น จึงเป็นลักษณะเฉพาะของชนรุ่นยุคโทรทัศน์ที่ต้องการแสดงออกทางความคิดและพฤติกรรมอย่างเสรี มีการแสดงออกโดยการท้าทายต่อระเบียบ ข้อบังคับทางกฎหมาย จากการรับรู้ว่ามีการใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐอย่างไม่ถูกต้อง ตั้งแต่การลอบสังหารบุคคลสำคัญ เรื่องอื้อฉาวทางการเมือง จนไปถึงความผิดพลาดในการตัดสินใจของรัฐที่เข้าร่วมสงครามโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ซึ่งมีส่วนทำให้สมาชิกครอบครัวของชนรุ่นนี้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก (Zemke et al., 2000, p. 64)
            ชนรุ่นยุคโทรทัศน์มีสัดส่วนจำนวนของประชากรมากที่สุดเมื่อเทียบกับชนรุ่นอื่น เนื่องจากการบูรณะฟื้นฟูสร้างประเทศชาติขึ้นในหลายประเทศหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง มีการเพิ่มจำนวนพลเมืองของประเทศที่เข้าร่วมสงคราม ทำให้ประชากรเด็กเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกผู้ที่เกิดในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1943-1960 ว่าเป็นชนรุ่นยุคโทรทัศน์ สมาชิกในชนรุ่นนี้เติบโตในยุคที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ จึงมีโอกาสได้รับการศึกษามากกว่าชนรุ่นก่อนหน้านี้ จึงเกิดเป็นลักษณะเฉพาะของชนรุ่นนี้ ได้แก่ การมองโลกในแง่ดี มีความเชื่อที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความเป็นไปได้ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเท่าเทียมกันให้เกิดขึ้นในสังคม จากข้อมูลข่าวสารที่ได้รับรู้ผ่านสื่อโทรทัศน์ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิดของชนรุ่นยุคโทรทัศน์ นอกจากนั้นพ่อและแม่ของชนรุ่นยุคโทรทัศน์ก็ได้พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ลูกหลานของตนมีโอกาสที่จะได้รับการศึกษาที่ดี ชนรุ่นยุคโทรทัศน์จึงมีความต้องการสร้างความใฝ่ฝันของตนเองให้เป็นความจริง โดยแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสังคมให้เป็นไปตามแนวคิดทางอุดมคติ เช่น การต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและสิทธิสตรี การต่อต้านสงคราม และการอนุรักษ์ธรรมชาติ (Lancaster & Stillman, 2003, p. 23)

สิ่งที่ชนรุ่นยุคโทรทัศน์ให้ความสำคัญในการทำงาน 
            ชนรุ่นยุคโทรทัศน์ได้เข้าสู่วัยทำงานในช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางสังคมซึ่งส่งผลต่อค่านิยมเกี่ยวกับงานที่ต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในองค์การ
จึงให้ความสำคัญกับการมีจุดยืนเป็นของตัวเอง มีเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเห็น และสนับสนุนให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม การที่ประชากรของชนรุ่นยุคโทรทัศน์มีจำนวนมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับชนรุ่นอื่น ๆ ส่งผลทำให้ชนรุ่นนี้ จะต้องแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ (Kupperschmidt, 2000, pp. 65-67) นอกจากนั้นชนรุ่นนี้ได้เริ่มอาชีพการงาน ในยุคที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงเพื่อให้ได้งานทำ จึงทำให้ชนรุ่นยุคโทรทัศน์มีความเต็มใจที่จะทุ่มเททำงานอย่างหนัก ต้องการพัฒนาตนเองให้มีความก้าวหน้าและเจริญเติบโตในอาชีพการงานเพื่อให้ได้ตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้นในองค์การ ต้องการบรรลุผลสำเร็จในการทำงานและได้รับผลตอบแทนจากความสำเร็จที่เกิดขึ้น ดังนั้นชนรุ่นยุคโทรทัศน์จึงให้ความสำคัญกับการแข่งขัน ต้องการทำงานในองค์การที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเพื่อให้มีความก้าวหน้าในอาชีพการทำงาน รวมทั้งต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้องค์การประสบความสำเร็จ (Eisner, 2005) วิธีการที่ใช้บริหารของชนรุ่นยุคโทรทัศน์ คือ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิธีการสั่งงาน (change of command) เพราะสมาชิกในชนรุ่นนี้ต่อต้านและท้าทายการปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับที่กำหนด จึงไม่ต้องการวิธีการสั่งงานตามสายบังคับบัญชาแบบเดิม (Lancaster & Stillman, 2003, p. 24)

ค่านิยมเกี่ยวกับงานชนรุ่นยุคโทรทัศน์ 
            การให้ความสำคัญกับการแข่งขันของชนรุ่นยุคโทรทัศน์ทำให้ชนรุ่นนี้มีลักษณะการทำงานโดยการลงมือปฏิบัติงานด้วยตนเอง ให้ความสำคัญกับการทุ่มเททำงานอย่างหนักมาตลอด ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีในการทำงานได้มีการพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างมากแล้วก็ตาม แต่สมาชิกในชนรุ่นนี้ก็ยังเคยชินกับการทำงานอย่างหนักแบบเดิม (Espinoza et al., 2010) ชนรุ่นยุคโทรทัศน์มีความจงรักภักดีให้กับองค์การ (Durkin, 2010) ต้องการทำงานอยู่กับองค์การตลอดช่วงชีวิตในการทำงานจนเกษียณอายุ (Rodriguez, Green, & Ree, 2003) จึงให้ความสำคัญกับการทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ส่งผลให้สมาชิกในชนรุ่นนี้ให้ความสำคัญกับชีวิตการทำงานมากกว่าชีวิตครอบครัวและชีวิตส่วนตัว ชนรุ่นยุคโทรทัศน์ยังให้ความสำคัญกับค่าตอบแทนที่เป็นรายได้จากการทำงาน มีตำแหน่งหน้าที่การงาน ได้รับการยกย่องชมเชย มีความภูมิใจในงานที่ตนเองรับผิดชอบ ประสบความสำเร็จที่ได้มาจากการแข่งขัน ชอบสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ที่มีปฏิสัมพันธ์และทำกิจกรรมเป็นทีม (Levit and Licina, 2011) ดังนั้นวิธีการสร้างความพึงพอใจสำหรับบุคลากรในชนรุ่นนี้สามารถทำได้โดยการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน การยกย่องชมเชยต่อหน้าผู้อื่น และการปรับเลื่อนตำแหน่งให้มีความก้าวหน้าในอาชีพการงาน (Lancaster & Stillman, 2003)
            ชนรุ่นยุคโทรทัศน์ที่ยังทำงานอยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่ดำรงตำแหน่งระดับผู้นำ ระดับผู้บริหาร หรือระดับผู้อาวุโสขององค์การในภาครัฐและภาคเอกชน กำลังจะเข้าสู่ช่วงเกษียณอายุจากการทำงาน ดังนั้นการสร้างความพึงพอใจในการทำงานของสมาชิกในชนรุ่นนี้สามารถทำได้โดยให้โอกาสในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในการทำงานของตนเองให้กับสมาชิกในชนรุ่นหลังขององค์การและมอบหมายหน้าที่พี่เลี้ยงให้กับสมาชิกในชนรุ่นที่อายุน้อยกว่า การสร้างความสัมพันธ์จากบทบาทหน้าที่ของการเป็นผู้สอนและพี่เลี้ยงจะช่วยสร้างความพึงพอใจสำหรับชนรุ่นนี้ได้ นอกจากนั้นยังสามารถรักษาความรู้ความเชี่ยวชาญของชนรุ่นยุคโทรทัศน์ให้อยู่กับองค์การต่อไปได้ (Gravette & Throckmorton, 2007, p. 98)


            ช่วงปีเกิดชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์ (Computer Generation) หรือ เจเนอเรขั่นเอ็กซ์ (Generation X) คือ ช่วงปีเกิดเริ่มปี ค.ศ. 1965 และสิ้นสุดปี ค.ศ. 1980 ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์มีสัดส่วนของจำนวนประชากรน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับชนรุ่นอื่น (Zemke, Raines, & Filipczak, 2000, p. 98) สมาชิกในชนรุ่นนี้เกิดในยุคของความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจได้สิ้นสุดลง เปลี่ยนแปลงไปสู่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ มีอัตราการว่างงานสูง เผชิญกับวิกฤติทางด้านพลังงาน และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่มีอัตราการหย่าร้างสูงมากขึ้น มีการทำแท้ง เกิดโรคเอดส์ และเป็นยุคที่ครอบครัวที่มีทั้งพ่อและแม่ออกไปทำงานนอกบ้านเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นปกติในสมัยนั้น (Kupperschmidt, 2000, pp. 65-67) ชนรุ่นนี้รับรู้ถึงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ได้แก่ สงครามเย็น (ค.ศ. 1985-1991) ความหายนะจากการระเบิดของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล (ค.ศ. 1986) การระเบิดของกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ (ค.ศ. 1986) และการทำลายกำแพงเบอร์ลินในช่วงสิ้นสุดของสงครามเย็น (ค.ศ.1989) นอกจากนั้น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทำ ให้ชนรุ่นนี้สามารถรับรู้ข่าวสารจากสื่อโทรทัศน์ที่ผ่านสายเคเบิ้ลและผ่านสัญญาณดาวเทียมได้ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นยุคที่เริ่มมีการใช้อินเทอร์เน็ตสำหรับการสื่อสาร มีเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ เช่น วิดีโอเกมส์ แฟกซ์ ไมโครเวฟ เครื่องติดตามส่วนบุคคล โทรศัพท์มือถือ และเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ส่งผลให้ชนรุ่นนี้สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้นและรวดเร็วขึ้น (Lancaster & Stillman, 2003, p. 24)
            ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์ได้รับรู้ถึงประสบการณ์ของความตกต่ำทางเศรษฐกิจไม่ไว้ใจการใช้อำนาจหน้าที่ของภาครัฐ และได้เติบโตในช่วงที่สภาพสังคมมีอัตราการหย่าร้างสูง ครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความสำคัญกับการทำงาน ได้เห็นการปลดพนักงานออกจากงานของ องค์การที่พ่อแม่ของตนเองมีความจงรักภักดีและทุ่มเททำงานอย่างหนัก จึงส่งผลให้ชนรุ่นนี้ไม่เชื่อในการให้ความจงรักภักดีแก่องค์การ ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์จึงให้ความสำคัญกับการพึ่งพาตนเองเป็นหลัก ไม่ต้องการที่จะยึดติดกับสถาบันหรือองค์การ ส่งผลทำให้ไม่ให้ความจงรักภักดีต่อองค์การ เพราะรู้สึกว่าไม่ได้รับความมั่นคงในการทำงานจากองค์การและสถาบันอีกต่อไป (Bickel and Brown, 2005, p. 206.) นอกจากนั้นสมาชิกในชนรุ่นนี้ก็ไม่ให้ความสำคัญกับการทุ่มเททำงานอย่างหนักเช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ชนรุ่นก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เวลาส่วนตัวไปกับการทำงาน จากมุมมองต่อการทำงานที่แตกต่างกัน โดยมองว่าชีวิตไม่ได้อยู่เพื่อการทำงาน (live to work) แต่การทำงานนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต (work to live) คือ ทำงานให้มีรายได้สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต (Marston, 2007, p. 171) ดังนั้น ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์จึงให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (work-life balance) (Eisner, 2005; Gursoy, Maier and Chi, 2008; Smola & Sutton, 2002)
            นอกจากนั้น ผลกระทบจากการที่ครอบครัวซึ่งพ่อแม่ต้องออกไปทำงานและปัญหาครอบครัวแตกแยกที่เกิดจากการหย่าร้าง ทำให้ผู้ที่อยู่ชนรุ่นนี้ต้องรู้จักดูแลตัวเอง เพราะต้องอยู่บ้านโดยลำพังในระหว่างที่ทั้งพ่อแม่ไม่อยู่บ้าน ต้องทำการบ้านด้วยตนเองให้เสร็จเรียบร้อย ไม่ได้อยู่ในความดูแลหรือรับคำชี้แนะจากพ่อแม่ ส่งผลทำให้สมาชิกในชนรุ่นนี้ต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก (Cordeniz, 2002) นอกจากนั้น ภัยคุกคามของอาวุธนิวเคลียร์ในช่วงสงครามเย็น การก่อการร้าย และความผิดพลาดจากการตัดสินใจขององค์การภาครัฐก็ได้ส่งผลให้ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์มีทัศนคติของการมองโลกในแง่ร้าย (Zemke et al., 2000, p. 21)

            ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์เป็นชนรุ่นแรกที่ได้เริ่มเข้าสู่ยุคของการใช้ข้อมูลข่าวสาร (information age) ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มีการรับข้อมูลข่าวสารและความบันเทิงผ่านสื่อโทรทัศน์ที่มีช่องรับสัญญาณจำนวนมาก ทำให้สมาชิกในชนรุ่นนี้มีความรู้และมีทักษะของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่ตนเองต้องการได้อย่างรวดเร็ว (Lancaster & Stillman, 2003) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่นี้ทำให้ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์สามารถทำงานเมื่อไรหรืออยู่ในสถานที่แห่งไหนก็ได้ตามที่ต้องการ จึงทำให้บุคลากรในชนรุ่นนี้ให้ความสำคัญกับการมุ่งเน้นผลลัพธ์จากการปฏิบัติงาน
และความยืดหยุ่นของเวลาการทำงานมากกว่า สมาชิกในชนรุ่นนี้ต้องการใช้วิธีการทำงานของตนเองที่สามารถบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดได้และต้องการอิสระในการทำงาน (
Zemke et al., 2000, pp. 111-112) จึงทำให้ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ต้องการตัดสินใจและกำหนดวิธีที่ใช้ทำงานด้วยตัวเอง ไม่ชอบวิธีการทำงานแบบจุกจิกจู้จี้ ดังนั้นสมาชิกในชนรุ่นนี้สามารถสร้างความพึงพอใจได้ด้วยการจัดลักษณะการทำงานที่มีรูปแบบอย่างไม่เป็นทางการ เช่น การแต่งกายไม่เป็นทางการ ช่วงเวลาการทำงานแบบยืดหยุ่น และการทำงานนอกสถานที่ (Rodriguez et al., 2003; Durkin, 2010)
            การให้ความสำคัญกับการพึ่งตนเองของชนรุ่นนี้เป็นกลไกที่ใช้สร้างความอยู่รอดเพื่อที่จะปกป้องตนเองจากผู้อื่น ส่งผลให้สมาชิกในชนรุ่นนี้มีแนวโน้มขาดทักษะในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นทางสังคม แต่จะมีความเชี่ยวชาญด้านการใช้เทคโนโลยี (technological savvy) มากกว่า ไม่ต้องการทำงานร่วมกันกับผู้อื่นในการสร้างความก้าวหน้าของอาชีพการงานให้กับตนเอง จึงมีมุมมองต่อการทำงานเป็นทีมว่าเป็นการร่วมกันทำงานซึ่งจะให้ผลลัพธ์ในภาพรวมมากกว่าวิธีการที่ให้การแยกกันทำงานของแต่ละบุคคล เพราะชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์นี้ให้ความสำคัญกับตนเองอย่างมาก มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง และไม่มีความไว้วางใจต่อผู้อื่น นอกจากนั้นการไม่มีความจงรักภักดีต่อองค์การทำให้ชนรุ่นนี้ไม่เต็มใจที่จะสละเวลาส่วนตัวให้กับเวลาการทำงาน (Eisner, 2005) วิธีการบริหารของชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์จึงได้เปลี่ยนรูปแบบการเปลี่ยนแปลงการบังคับบัญชาไปเป็นการสั่งงานด้วยตนเอง (self-command) (Lancaster & Stillman, 2003)

ค่านิยมเกี่ยวกับงานของชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์ 
            ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์ให้ความสำคัญกับการทำงานอย่างไม่เป็นทางการ ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว คุณภาพชีวิตที่ดี การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้งานมีความน่าสนใจ เวลาการทำงานที่มีความยืดหยุ่น การแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ การใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด การให้ข้อมูลป้อนกลับ การพัฒนาตนเองให้มีความก้าวหน้า การยกย่องชมเชย และความสนุกสนานในการทำงาน (Jurkiewicz, 2000; Martin & Tulgan, 2002)
            ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์ต้องการทำงานด้วยวิธีการของตนเอง จึงสามารถสร้างความพึงพอใจได้ด้วยการให้อิสระในการทำงาน มอบหมายการทำงานหลายอย่างโดยให้ไปจัดลำดับความสำคัญของงานด้วยตนเองได้ ให้โอกาสในการนำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และจัดให้มีการฝึกอบรมพัฒนาทักษะและสมรรถนะในการทำงาน (Eisner, 2005) ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์ให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานและชอบที่จะให้มีการแข่งขัน รวมไปถึงการฝึกอบรมที่เพิ่มทักษะ การใช้เทคโนโลยีทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงสามารถสร้างความพึงพอใจสำหรับสมาชิกในชนรุ่นนี้โดยให้โอกาสในการพัฒนาตนเอง ให้ข้อมูลป้อนกลับอย่างต่อเนื่องและตรงไปตรงมาของผลการปฏิบัติงาน (Howe & Strauss, 2000) รวมถึงสร้างความก้าวหน้าและศักยภาพการเติบโตของตนเองในการทำงาน ดังนั้น ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน สร้างคุณค่าเพิ่มให้กับตนเอง สมาชิกในชนรุ่นนี้มองการเปลี่ยนงานเป็นเรื่องปกติแทนที่จะทำงานให้กับองค์การใดองค์การหนึ่งจนเกษียณ (Howell, Servis, and Bonham, 2005, p. 529)
            ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสวัสดิการ ความมั่นคงในอาชีพการงาน และรายได้ที่เป็นค่าตอบแทนในอนาคตเท่ากับชนรุ่นก่อนหน้านี้ เพราะไม่มีความแน่ใจว่าองค์การยังจะมีอยู่ในอนาคตหรือไม่ ดังนั้นสมาชิกในชนรุ่นนี้จึงไม่ชอบการจูงใจด้วยค่าตอบแทนที่ต้องใช้เวลานานถึงจะได้ แต่จะชอบวิธีจูงใจด้วยการจ่ายค่าตอบแทนเมื่อบรรลุผลของการปฏิบัติงานแล้ว จึงทำให้ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์มีความต้องการที่จะพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้น มองหาวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ใช่วิธีการทำงานหนัก เพราะไม่มีความเชื่อที่ว่าการทำงานหนักเป็นวิธีที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้ในอาชีพการงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานหนักต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน การที่สมาชิกในชนรุ่นนี้ได้รับรู้ประสบการณ์ของความไม่มั่นคงทางด้านการเงิน ด้านครอบครัว และด้านสังคม รวมถึงความไม่ไว้วางใจต่อองค์การและสถาบัน ส่งผลทำให้ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์มีทัศนคติต่อการเปลี่ยนงานว่าเป็นเรื่องปกติ และมองว่าการเปลี่ยนงานนั้นเป็นกระบวนการที่ใช้พัฒนาสร้างความก้าวหน้าในอาชีพการทำงานของตนเองและมีมุมมองต่อการทำงานอยู่ในองค์การได้ยาวนานก็ต่อเมื่อได้รับความ ก้าวหน้าในอาชีพการทำงาน จึงต้องการทำงานให้กับองค์การที่มีพันธกิจสนับสนุนความต้องการส่วนบุคคลของตนเองได้ รวมทั้งได้รับการฝึกอบรมและพัฒนาให้ส่วนร่วมในการทำงานตามพันธกิจขององค์การ ทำให้ชนรุ่นนี้มองหาการทำงานที่มีความตื่นเต้น ความท้าทาย ความสำคัญ และความหมาย (Bennis and Thomas, 2002) ซึ่งจะทำให้สมาชิกในชนรุ่นนี้มีความจงรักภักดีและทุ่มเทความพยายามให้กับการทำงานได้เต็มที่ (Martin & Tulgan, 2002, p. 7) อย่างไรก็ตาม ชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์ให้ความสำคัญกับชีวิตที่มีอิสระ ต้องการความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Smola & Sutton, 2002; Strauss & Howe, 1991) โดยเฉพาะการให้เวลากับครอบครัวและชีวิตส่วนตัวมากกว่าที่ทำงานหนักอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นเดียวกันกับชนรุ่นก่อนหน้านี้ เพราะต้องการใช้ชีวิตที่อยู่ในปัจจุบันอย่างมีความสุขมากกว่าที่จะต้องรอให้ถึงอนาคตหลังเกษียณอายุจากการทำงานแล้วค่อยใช้ชีวิตอย่างมีความสุข (Crampton and Hodge, 2007, pp. 16-23)

            ช่วงปีเกิดชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ต (Internet Generation) หรือ เจเนอเรชั่นวาย (Generation Y) คือ ช่วงปีเกิดเริ่มปี ค.ศ. 1981 และสิ้นสุดปี ค.ศ. 2000 ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตได้เติบโตท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นอย่างมากมาย เกิดความก้าวหน้าทางการสื่อสารที่ได้พัฒนาไปสู่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ทำให้ชนรุ่นนี้คุ้นเคยกับการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ตลอดเวลา มีเครือข่ายสังคมออนไลน์ และนิยมจับจ่ายใช้สอยผ่านทางอินเทอร์เน็ต สมาชิกในชนรุ่นนี้ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ได้แก่ การก่อวินาศกรรมโดยการจี้เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (ค.ศ. 2001) เหตุการณ์สังหารหมู่ในโรงเรียน (ค.ศ. 1999) น้ำมันรั่วจากเรือบรรทุกของเอ็กซอนวาลเดซทำให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเสียหาย (ค.ศ. 1989) สงครามอ่าวเปอร์เซีย (ค.ศ. 1991-1995) การล้มละลายของเอ็นรอน (ค.ศ. 2001) วินาศกรรมเกาะบาหลี (ค.ศ. 2002) ผลกระทบจากภัยคุกคามของการก่อการร้ายและการแพร่ระบาดของยาเสพติด ทำให้ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตนเองเป็นอย่างมาก จึงส่งผลให้พ่อแม่ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในกิจกรรมต่าง ๆ และให้ความเอาใจใส่ดูแลมากกว่าชนรุ่นอื่น จะเห็นได้ว่าพ่อแม่ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตได้เตรียมความพร้อมอยู่เสมอที่จะเข้ามาช่วยเหลือลูกของตนเองได้ตลอดเวลา (Helicopter parents) โดยให้ความสนใจและติดตามดูแลลูกของตนเองอยู่อย่างใกล้ชิด (Lancaster & Stillman, 2003, pp. 31-32)
            สิ่งที่ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตให้ความสำคัญกับการทำงาน ได้แก่ ความยืดหยุ่นในการทำงาน การทำงานที่มีความ สำคัญต่อองค์การ การทำให้ผู้อื่นยอมรับ การสร้างความสัมพันธ์และมิตรภาพ ความสนุกสนานในการทำงาน การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วตลอดเวลา การพัฒนาทางด้านอาชีพการงาน ชอบกิจกรรมที่เสริมสร้างประสบการณ์ ยอมรับในความหลากหลาย ต้องการความปลอดภัยในการทำงาน และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการทำงาน ลักษณะของชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ต คือ มีความมั่นใจในตนเองสูง ยอมรับในสิ่งใหม่ ๆ มีความห่วงใยต่อผู้อื่น รักคุณธรรม ชอบเข้าสังคม ต้องการมีส่วนร่วม มีความคิดริเริ่มมีจิตสำนึกทางสังคม และต้องการสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้น (Lancaster & Stillman, 2003; Zemke et al., 2000)
            ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตได้รับการอบรม สั่งสอน ดูแล โดยมีวิธีการสอนที่ได้วางแผนมาเป็นอย่างดี เพราะพ่อแม่ของสมาชิกในชนรุ่นนี้นำประสบการณ์ที่ได้จากความสำเร็จของตนเองและมีลักษณะนิสัยที่ชอบการแข่งขันอยู่แล้วมาใช้ ต้องการให้ลูกของตนเองประสบความสำเร็จและชอบการแข่งขันเช่นเดียวกันกับตนเอง จึงสนับสนุนให้เข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขันต่าง ๆ และพยายามสร้างความมั่นใจให้กับลูกของตนเองว่ามีความสามารถพิเศษที่เป็นลักษณะเฉพาะของตนเองและมีความแตกต่างจากคนอื่น
จึงมีความเหมาะสมที่จะได้รับรางวัลและคำชมเชยตลอดเวลา (
Galagan, 2006) ส่งผลทำให้ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตชอบแสดงออก กล้าพูด เชื่อมั่นว่าตนเองมีความสามารถพิเศษจึงต้องการสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้น มั่นใจในตนเองสูง มองว่าตนเองมีความสำคัญอย่างมาก ต้องการให้ผู้อื่นยอมรับ คาดหวังว่าเมื่อทำอะไรได้สำเร็จก็จะได้รับสิ่งตอบแทนหรือรางวัล จากการที่ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตมองโลกในแง่ดี มีจิตใจสาธารณะ และมีความรับผิดชอบต่อสังคม จึงให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในชุมชนและการสร้างความยั่งยืนกับสิ่งแวดล้อม (Howe & Strauss, 2003, p.5)
            ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสื่อสารและการใช้อินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อทัศนคติของชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ต ทำให้ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตแตกต่างกับชนรุ่นอื่นอย่างมาก คือ การใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สื่อสารโต้ตอบได้ทันที ทำให้ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว จึงมีความคุ้นเคยกับวิธีการค้นหา เลือกซื้อสินค้าหรือบริการ ซึ่งตอบสนองต่อความต้องการได้ทันที ขณะที่ชนรุ่นยุคโทรทัศน์และชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์จะต้องใช้เวลาเลือกซื้อสิ่งที่ตนเองต้องการจากห้างสรรพสินค้า จากการที่ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตคุ้นเคยกับการสนองตอบต่อความต้องการได้ทันที จึงถูกมองว่าชนรุ่นนี้ไม่มีความอดทน (Fjelstul and Breiter, 2008)
            ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตคุ้นเคยกับการใช้อินเทอร์เน็ตให้เป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่การสืบค้นข้อมูลข่าวสาร การสร้างปฏิสัมพันธ์ในสังคมออนไลน์ การสร้างความบันเทิงด้วยการรับฟังเพลงหรือรับชมภาพยนตร์ การจับจ่ายใช้สอย หรือการเล่นเกมส์ รวมไปถึงการทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ในเวลาเดียวกัน ส่งผลให้สมาชิกในชนรุ่นนี้มีความสามารถในการทำงานหลายอย่างพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้ (multi-tasking) และมีความสามารถในการนำเทคโนโลยีใหม่
มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเต็มที่ และมีความต้องการเข้าถึงและติดตามข้อมูลข่าวสารที่มีการเชื่อมต่อตลอดเวลา (
Zemke et al., 2000, p. 77)
            ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตมีค่านิยมเกี่ยวกับงานที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารซึ่งได้เป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวันของสมาชิกในชนรุ่นนี้ ทำให้การทำงานไม่จำเป็นจะต้องถูกจำกัดอยู่ในสำนักงานอีกต่อไป ดังนั้น สมาชิกในชนรุ่นนี้นิยมการทำงานนอกสถานที่และความยืดหยุ่นในการทำงาน เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารทำให้สามารถทำงานได้ทุกสถานที่โดยการเชื่อมต่อกับข้อมูลที่ใช้สนับสนุนการทำงานได้ตลอดเวลา (Gursoy et al., 2008, p. 450)
            นอกจากนั้น ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตมีความคุ้นเคยกับตารางเวลาเรียนที่มีการได้วางแผนไว้เป็นอย่างดี จึงให้ความสำคัญกับการทำงานที่มีโครงสร้างและกระบวนการทำงานอย่างชัดเจน ต้องการลักษณะแบบอย่างที่ดีในการทำงานเพื่อที่จะสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง สมาชิกในชนรุ่นนี้มีความสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ใช้ในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นวิธีการบริหารของชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนจากรูปแบบของการสั่งงานด้วยตนเองไปเป็นรูปแบบของการสร้างความร่วมมือร่วมใจในการทำงาน (collaborative work) จากการที่พ่อแม่ของสมาชิกในชนรุ่นนี้ส่งเสริมให้มีการแสดงออกและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจกับครอบครัว รวมทั้งการทำกิจกรรมร่วมกันเป็นทีม (Lancaster & Stillman, 2003) ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตจึงมีความคาดหวังที่จะได้ทำงานในองค์การที่ให้ความสำคัญกับความเสมอภาคและการทำงานร่วมกันเป็นทีม ชอบสภาพการทำงานที่มีความสนุกสนาน มีบรรยากาศของการทำงานที่รู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่กับครอบครัว และมีความยืดหยุ่นในการทำงาน
(Howe & Strauss, 2000, p. 4)
            รูปแบบการทำงานของชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตมีลักษณะดังนี้ มีความสามารถทำงานหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน ชอบทำงานเป็นทีมที่มีความร่วมมือร่วมใจคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต้องการสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้น ต้องการความยืดหยุ่นในการทำงานที่สามารถปรับให้สอดคล้องกับความต้องการของตนเองได้ ต้องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการทำงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น ต้องการโอกาสในการแสดงออก ต้องการงานหรือกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ในการทำงาน และต้องการลักษณะงานที่มีความสำคัญต่อองค์การและมีความท้าทาย (Zemke et al., 2000, p. 1)

ค่านิยมเกี่ยวกับงานของชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ต 
           ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตได้รับการส่งเสริมให้มีโอกาสแสดงออกทางความคิดเห็นทั้งในบ้านและในโรงเรียน จึงทำให้สมาชิกในชนรุ่นนี้มีค่านิยมเกี่ยวกับงานที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ต้องการทำงานในองค์การที่ให้โอกาสแสดงความสามารถและรับฟังความคิดเห็นของตนเองได้อย่างเต็มที่ ต้องการงานที่มีความท้าทาย มีความสำคัญ และมีส่วนทำให้องค์การประสบความสำเร็จ สมาชิกในชนรุ่นนี้จึงต้องการโอกาสที่จะได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการทำงานเพื่อที่จะได้แสดงคุณค่าของตนเองให้ผู้อื่นได้รับรู้ ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตให้ความสำคัญกับอิสระในการทำงานเพื่อแสดงให้เห็นถึงการใช้ความสามารถและวิธีการทำงานให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดได้เอง ต้องการความชัดเจน
ถึงความสำคัญและลักษณะของงานที่ได้รับมอบหมาย (Zemke et al., 2000, p. 4)
            ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตมองว่าการทำงานเป็นเครื่องมือที่ใช้นำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ มีทัศนคติต่อการทำงานเช่นเดียวกับชนรุ่นยุคคอมพิวเตอร์ที่ต้องการความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว จึงให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงาน ถึงแม้ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตมองความสำคัญของการทำงานเป็นเพียงแค่บางส่วนของชีวิต แต่ก็สามารถทำให้ชนรุ่นนี้มีความผูกพันกับการทำงานได้อย่างเต็มที่  ถ้ามอบหมายให้รับผิดชอบในงานที่มีความท้าทายและมีความสำคัญกับองค์การและให้โอกาสได้แสดงออกถึงความสามารถและศักยภาพของตนเองในการทำงานซึ่งมีส่วนร่วมในการสร้างคุณค่าและบรรลุผลสำเร็จขององค์การ แต่ถ้างานที่ได้รับมอบหมายไม่มีความท้าทายหรือไม่มีความสำคัญก็จะทำให้ชนรุ่นนี้ไม่ให้ความสนใจ เพราะชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตได้รับการส่งเสริมของพ่อแม่ที่ทำให้รู้สึกถึงคุณค่าของตนเองว่ามีลักษณะพิเศษและแตกต่างจากผู้อื่น คุ้นเคยกับการได้รับคำชมหรือรางวัลตอบแทนเมื่อได้แสดงออกทางความคิดและพฤติกรรม (Galagan, 2006, pp. 27-30) ดังนั้นชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตจึงให้ความสำคัญกับการยอมรับจากผู้อื่น (self esteem) ทำให้เกิดความมั่นใจในตนเองและมีความต้องการที่จะแสดงออก จึงมีคาดหวังว่าเมื่อทำงานบรรลุเป้าหมายได้เป็นผลสำเร็จ ตนเองมีสิทธิที่จะได้รับรางวัลหรือค่าตอบแทน (entitlement) ทำให้ชนรุ่นนี้มีความคิดว่าตนเองมีความสามารถที่แตกต่าง มีความมั่นใจในตนเองสูง มองตนเองว่ามีคุณค่าและมีความสำคัญ จึงสมควรที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากองค์การ มีความพร้อมที่จะรับความท้าทายที่เกิดขึ้นได้ เพราะเชื่อว่าตนเองมีความสามารถที่จะทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตจึงมีความคาดหวังที่จะได้รับค่าตอบแทนจากการทำงานที่ดี มีรางวัลจูงใจในการทำงาน ได้รับการยกย่องชมเชย และมีความก้าวหน้าในอาชีพการงาน (Howe & Strauss, 2000, p. 6) ต้องการเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้สามารถรับผิดชอบงานที่มีความสำคัญได้ การพัฒนาอาชีพการทำงานของชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตจะต้องให้ความสำคัญกับการสอนงานและมีพี่เลี้ยงที่คอยให้ความช่วยเหลือ แนะนำ และสนับสนุนในระหว่างการทำงาน มอบหมายหน้าที่ในการทำงานให้มีส่วนร่วมในโครงการต่าง ๆ โดยการหมุนเวียนเปลี่ยนลักษณะของงาน รวมทั้งจัดให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Zemke et al., 2000; Tapscott, 2009; Jenkins, 2008; Jurkiewicz, 2000; Wong, Gardiner, Lang, and Couon, 2008)
            ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตต้องการได้รับข้อมูลป้อนกลับจากการประเมินผลการปฏิบัติงานทันที ซึ่งจะแสดงถึงการให้ความเอาใจใส่ดูแลการทำงานของสมาชิกในชนรุ่นนี้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความผูกพันในการทำงานขึ้น รวมทั้งช่วยให้ทราบถึงวิธีการที่ใช้ในการทำงานว่าถูกต้อง หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการทำงานที่กำหนดไว้ได้ การให้ข้อมูลป้อนกลับจากผลการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง จะทำให้สมาชิกในชนรุ่นนี้สามารถนำไปปรับปรุงและพัฒนาให้สามารถรับผิดชอบงานที่มีความสำคัญและท้าทายได้ (Gravette & Throckmorton, 2007, p. 102) ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตมีค่านิยมเกี่ยวกับงานที่ต้องการความเสมอภาค ความโปร่งใส และความยุติธรรม โดยให้ความสำคัญกับการใช้ความสามารถของตัวบุคคล ในการทำงานเพื่อบรรลุผลสำเร็จ และเชื่อว่าการมุ่งเน้นผลการปฏิบัติงานเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จขององค์การ จึงสามารถสร้างความพึงพอใจสำหรับชนรุ่นนี้ได้ด้วยการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน (Gursoy et al., 2008, p. 450)
            การสร้างเครือข่ายทางสังคม (social network) มีความสำคัญต่อชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสารถึงกันได้ตลอดเวลา (Twenge et al., 2010) สมาชิกในชนรุ่นนี้ชอบทำงานกับพนักงานที่มีความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนมากกว่า จึงคาดหวังสภาพแวดล้อมการทำงานที่สร้างปฏิสัมพันธ์อันดี นอกจากนั้นการใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีการเชื่อมต่อข้อมูลข่าวสารตลอดเวลาก็ทำให้ชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตคุ้นเคยการตอบสนองต่อความต้องการของตนเองได้อย่างรวดเร็ว แสดงออกถึงความต้องการที่ต้องได้รับการตอบสนองทันที (instant gratification) สมาชิกในชนรุ่นนี้จึงต้องการพัฒนาตนเองให้มีความก้าวหน้าและเติบโตในอาชีพการงานอย่างรวดเร็ว ชนรุ่นนี้มีทัศนคติต่อการเปลี่ยนงานว่าเป็นการเรียนรู้ พัฒนาทักษะ และเสริมสร้างประสบการณ์ในการทำงานใหม่ในองค์การอื่น ๆ มองการเปลี่ยนงานเป็นเรื่องปกติ และคาดหวังที่จะเปลี่ยนงานก็ต่อเมื่อองค์การไม่ได้ใช้ประโยชน์จากความสามารถของตนเอง (Gibson, Greenwood, and Murphy, 2009, pp. 1-7)
              การสร้างความพึงพอใจสำหรับชนรุ่นยุคอินเทอร์เน็ตสามารถทำได้โดยมอบหมายให้รับผิดชอบงานที่มีความสำคัญและมีความท้าทาย จัดให้มีความยืดหยุ่นของเวลาการทำงานที่เหมาะสม มีทางเลือกของการทำงานนอกสถานที่ มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่สร้างมิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมงาน มีความสนุกสนานและมีความปลอดภัยในการทำงาน มีการฝึกอบรมพัฒนาเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพการทำงาน รวมทั้งสนับสนุนให้เข้าร่วมกิจกรรมที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม (Gravette & Throckmorton, 2007, p. 98
            แนวคิด ทฤษฎี และเอกสารวิจัยที่เกี่ยวกับชนรุ่นจากนักวิชาการ สามารถสรุปช่วงปีเกิดแต่ละชนรุ่น ดังตาราง 2

ช่วงปีเกิดที่จำแนกชนรุ่น
ชนรุ่น
ชื่อเรียกในการศึกษาอื่นๆ
ช่วงปีเกิด
ชนรุ่น
ยุควิทยุ
 (Radio Generation)
Radio Babies, Seniors, Traditionalists, Veteran,
GI's, Mature, WWII Generation, Silent Generation, Veterans, Survivor Generation, Builders, Hero Generation
 ค.ศ. 1928 - 1945
(พ.ศ. 2471-2487)    
อายุ 70 ปี - 87 ปี
ชนรุ่น
ยุคโทรทัศน์ (Television Generation)
Baby Boomers, Boomers, Stress Generation, Disco Generation, Hippies, Spock Generation, The Breakthrough Generation
ค.ศ. 1946 - 1964 (พ.ศ. 2508 - 2523) อายุ 51 ปี - 69 ปี
ชนรุ่น
ยุคคอมพิวเตอร์ (Computer Generation)
Generation X , Xers, Gen X, Baby Busters, Thirteener, Lost Generation, Twenty-Somethings, Post Boomers, MTV Generation, Post Boomers, Slackers, Whiners, Latchkey Kids, Pepsi Generation
ค.ศ. 1965 - 1980 (พ.ศ. 2508 - 2523) อายุ 35 ปี - 50 ปี
ชนรุ่น
ยุคอินเทอร์เน็ต (Internet Generation)
 Generation Y,  Gen Y, Nexters, Millenials, Generation 2001, Nintendo Generation, Echo Boomers, Nexters, Bridgers, Net Generation, Dot.Com Generation, iGeneration, Google Generation
ค.ศ. 1981 - 2000 (พ.ศ. 2524 - 2543) อายุ 15 ปี - 34 ปี

ที่มา: จากการสังเคราะห์ช่วงปีเกิดแต่ละชนรุ่นในการศึกษาวิจัยของ DeVaney & Cherimba (2005), Nicholson (2008), Hicks & Hicks (1999), Sincavage (2004) Magnuson & Alexander ( 2008), Chen & Choi ( 2008), Parker & Chusmir ( 1990), Strauss & Howe ( 1991), Danielsen ( 2011) และ  Wong et al. (2008)





































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความสัมพันธ์ระหว่างค่านิยมเกี่ยวกับงาน ความพึงพอใจในงาน และความผูกพันองค์การ

ความสัมพันธ์ระหว่างค่านิยมเกี่ยวกับงาน ความพึงพอใจในงาน และความผูกพันองค์การ โดย ดร. อนุรักษ์ วัฒนะถาวรวงศ์   ความสัมพันธ์ระหว่างค่านิ...